เปรียบเทียบกันไม่ได้

ฉันชอบการเดินทางเดี๋ยวนี้ของกรุงเทพมาก มีให้เลือกทั้งบนบก ในน้ำ ลอยฟ้า และใต้ดินมีทั้งแบบซิ่งและแบบเอื่อยๆ แต่ละอย่างก็มีเสน่ห์ที่ต่างกัน

ดูๆแล้วก็เหมือนชีวิตเราเหมือนกันนะ
หลักๆของชีวิตเหมือนกัน คือ กิน อยู่ หลับ นอน ดำเนินไปสู่ความแก่ ความตาย เหมือนๆกัน
เหมือนพาหนะต่างๆมีหน้าที่หลักเหมือนๆกันคือขนส่ง
แต่รายละเอียดไม่เหมือนกัน
ชีวิตของคนเรา 100 คนก็ 100 เรื่องราว ไม่ซ้ำกันเลย
การเปรียบเทียบชีวิตหนึ่งชีวิตกับอีกชีวิตหนึ่ง ก็เป็นได้เพียงบางมิติ
เช่นเงินเดือน ทรัพย์สิน วุฒิการศึกษา
แต่มันก็จะดูใจแคบไปไหมที่มองแค่มุมที่เล็กอย่างนั้น
แล้วตีค่าคนคนนั้น ที่มีอีกหลากหลายแง่มุม

ออกนอกเรื่องไปไกล ที่จริงอยากจะเล่าถึงเสน่ห์ของแต่ละพาหนะมากกว่า
ฉันชอบขับรถ เพราะเหมือนได้ผจญภัย เรียนรู้ทางใหม่ๆ และสกิลเอาตัวรอดในเมืองหลวง
ชอบขี่จักรยาน เพราะตื่นเต้นตลอดเวลา(เพราะขี่จักรยานไม่แข็ง ตรงได้อย่างเดียว)
ชอบซ้อนพี่วิน เพราะอะดรีนาลีนหลั่งขั้นสุด และนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนถนนใหญ่
ชอบนั่งรถตู้ เพราะดูมีความเป็นกันเอง (ต้องนั่งเบียด ที่นั่งเล็กเหมาะกับเด็กมากกว่า) ซึ่งชีวิตปกติเราจะไม่ต้องนั่งใกล้ชิดใครขนาดนี้
ชอบนั่งเรือ เพราะคิดถึงอดีตของสยามประเทศ (พูดซะเหมือนสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แหะ) และชอบตอนลมปะทะหน้า และจินตนาการถึงสัตว์น้ำโบราณใต้ท้องแม่น้ำ (เอิ่ม…)
ชอบนั่งรถไฟฟ้า เพราะเร็วดี แต่ถ้าไม่ต้องการความเร็วจะไม่ค่อยชอบ เพราะดูเหมือนหลุดไปในโลกของโรบอท (แม้นั่งใกล้ แต่รู้สึกห่างเหิน)
ชอบนั่งรถสองแถว (เดี๋ยวนี้หานั่งยาก) เพราะได้สัมผัสอากาศอุ่นเกินความพอดี มีเศษกรวดเบาๆลอยมาปะทะใบหน้าเป็นครั้งคราว (ถือเป็นแอดเวนเจอร์ของชีวิตที่เรียบ ไร้สีสัน) และก็สงสัยทุกครั้งเกี่ยวกับหลักวิศวกรรมการออกแบบรถโดยสารสองแถว ช่างออกแบบมาได้ขัดกับหลักแรงเฉื่อยและการทรงตัวขั้นสุด ถ้าได้นั่งแล้วที่นั่งข้างๆว่าง ก็จะสามารถพึ่งพาตัวเองได้ โดยการนั่งเอียงแล้วใช้กล้ามเนื้อแขนของตัวเองในการจับยึดเหล็กพนักพิง เวลาเบรคและออกตัว แต่ถ้าที่นั่งเต็ม คนที่นั่งข้างๆจะคือดิสเบรคของกันและกัน และจะเกิดอาการไหลกอง พอรถหยุดสนิทก็ต้องขยับให้เข้าที่อีกครั้ง (ตลกมากกก ขยับทีละสิบคนพร้อมกัน) ส่วนถ้าได้ยืนนั่นคือการเสี่ยงที่จะได้ใช้ประกันชีวิตที่จ่ายเบี้ยเหมือนจ่ายทิ้งมาหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนออกตัว เรามีโอกาสที่จะหลุดลอยออกจากท้ายรถและเสี่ยงรถหลังเหยียบได้อย่างง่ายดาย ถ้าเราตัวเตี้ย แขนสั้น (โหนไม่ค่อยถึง..ฉันเอง) สรุป ทุกครั้งที่ขึ้นรถสองแถว ถ้าได้นั่งจะปวดเอว ปวดแขน ส่วนถ้าได้ยืนจะปวดนิ้ว ปวดแขน ปวดขา เป็นของแถมมาเสมอ
ชอบนั่งรถเมล์ เพราะอยากลงไหนก็ลง และได้เรียนรู้เส้นทางรถจากการอ่านป้ายข้างรถเมล์ที่ผ่านป้ายนั้นๆ และมีโอกาสได้ทำบุญทำทาน (หืม) คือมีโอกาสลุกให้ผู้สูงอายุนั่ง เพราะส่วนใหญ่คนเดี๋ยวนี้ขึ้นรถปุ๊บจะคว้ามือถือมาดู ไม่สนใจคนยืนข้างๆ หรือบางคนไม่ได้ดูมือถือ แต่คิดว่าไม่เห็นต้องมีน้ำใจอะไรให้ใคร (อุ๊..อย่าเอ็ดไป เจอบ่อยมากกก) ฉันเคยทำสถิติเดินทางเที่ยวเดียวจากสนามหลวงกลับบ้าน (ลุกให้ผู้สูงอายุ 3 ครั้ง นั่งแล้วลุก นั่งแล้วลุก อยู่นั่นแล้ว)ทั้งๆที่ฉันเองก็ใกล้เข้าสู่วัยนั้นเข้าไปทุกที แต่ก็ยังคิดว่าเราก็ยังมีแรงที่จะลุกให้คนอื่น ก็ลุกไปเถอะ (ที่พูดมาไม่ใช่จะอวดอ้างตัวเอง แต่อยากให้ช่วยๆกันมากกว่า ฉันเองสละที่นั่งได้ก็แค่ครั้งละ 1 ที่นั่ง แต่บ่อยครั้งก็มีคนสูงอายุหลายคนในคันนั้น ฉันก็ได้แต่ร้องเฮ่อ ในใจ) อีกอย่างที่ชอบขึ้นรถเมล์ เพราะรู้สึกเหมือนกำลังดูละครชีวิตจริงๆ ได้เห็นน้ำใจของคุณกระเป๋ารถ คนขับ ผู้โดยสาร เห็นความขำๆ เช่นมีน้องคนหนึ่งนั่งหลับตกเก้าอี้ไปเฉย เห็นการบริการเกินความคาดหมาย เช่นบางคันทีมีพัดห้อยที่พนักเก้าอี้ให้ บางคนคุณกระเป๋ารถพูดเหมือนแอร์โฮสเตส พูดสุภาพ อ่อนโยนมาก หรือเคยเห็นคนหนึ่งพูดกระตุกต่อมน้ำใจคนในรถให้ทำงาน คือประกาศให้ทุกคนได้ยินว่าตอนนี้มีพ่ออุ้มลูกเล็ก 6-7 เดือนอยู่บนรถ ขอให้ช่วยเสียสละที่นั่งให้หน่อย (แต่ กริบบบ… ไม่มีอะไรเกิดขึ้น) นี่ล่ะค่ะสีสันที่ได้จากการขึ้นรถเมล์ที่หาได้ยากจากพาหนะอื่น

ฉันเลยคิดว่าชีวิตแต่ละคนก็เหมือนพาหนะแต่ละอย่าง เปรียบเทียบกันได้ยาก ยกเว้นจะเปรียบเทียบแค่ประเด็นใดประเด็นหนึ่ง (ซึ่งก็ไม่ใช่ตัวตนทั้งหมดของคนนั้น) แล้วก็จะเกิดการตีค่า เมื่อตีค่า หรือตัดสินแล้ว ก็จะมีคนหนึ่งที่ดูดีกว่า อีกคนที่ดูด้อยกว่า ก็จะเกิดการกระหยิ่ม ดูถูก หรือ รู้สึกตัวเองต่ำต้อยด้อยค่าขึ้นมาได้ ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่ายเลย