ปฏิเสธให้เป็น ดีทั้งกับตัวเองและผู้อื่น

ฉันเองชีวิตนี้ที่ผ่านมา แทบจะเรียกได้ว่าแทบจะไม่ปฏิเสธใครเลย แม้กับเหตุการณ์ที่ทำให้เราเสียเปรียบ หรือ เบียดเบียนตัวเองก็ตาม แต่เกมชีวิตก็ทำให้ฉันต้องกลับมาใคร่ครวญตัวเอง และเรียนรู้ที่จะฝีกตัวเองใหม่ในวัยที่แสนจะล่วงเลย

วันนี้เองที่ฉันรู้สึกผันผวนในใจ กับเรื่องราวของการไม่กล้าปฏิเสธของตัวฉันเอง เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อคืนมีลูกค้าต้องการชมอสังหาริมทรัพย์ที่ฉันโพสท์ขาย โดยส่งไลน์มานัดขอชม ฉันต้องทำนัดในกลุ่มไลน์ที่ทำงานด้วยกัน เพื่อให้ admin ลงนัดให้เช้าวันนี้ (ไม่สามารถ direct line ให้แอดมินรับทราบคนเดียวได้ จริงๆเป็นงานที่ทำงานแบบอิสระตัวใครตัวมัน แต่หัวหน้างานเดียวกัน แต่ละคนก็สามารถนำอสังหาฯที่พูลเป็นส่วนกลางนี้ไปขายได้ ขึ้นกับareaที่เราชอบ หรือที่ใกล้บ้านเรา และความชอบในทรัพย์นั้นว่าอยากขายหรือไม่ เพราะฉะนั้นทุกคนก็เป็นคู่แข่งกันไปโดยปริยาย)

หลังจากนั้นฉันก็เข้านอน ตื่นมาพร้อมกับไลน์ของน้องที่สนิทในกลุ่มที่ขออนุญาตตามติดไปดูการขายด้วย โดยบอกว่าจะไปช่วยขาย (เพราะพวกเราเป็นมือใหม่ ที่เข้าพร้อมๆกัน) ฉันนึกในใจ ฉันไม่ได้ต้องการให้ใครมาช่วย ฉันมั่นใจว่าฉันขายเองได้ เพราะได้ขายไปหลังหนึ่งแล้ว ถ้าเป็นคนอื่น หรือ สิ่งที่ควรจะเป็น ก็ควรจะปฏิเสธน้องเขาไป โดยหาเหตุผลร้อยแปดได้ แต่ฉันเองผู้ที่เพิ่งเริ่มเห็นโทษภัยของการปฏิเสธไม่เป็น (ฉันความรู้สึกช้าไปครึ่งศตวรรษ)กลับไม่กล้าปฏิเสธ ทั้งๆที่ตัวเขากำลังจะเอาทรัพย์หลังนั้นไปขายเช่นเดียวกัน หลังจากเห็นฉันโพสท์ขาย แล้วอยากขายบ้าง โดยบอกว่าอยู่ใกล้บ้านตัวเอง (ทั้งๆที่ทรัพย์คือบ้านหลังนี้อยู่ใน database ที่เป็นพูลกลางตั้งนาน)

แต่พอดี ลูกค้าโทรมาขอเลื่อนนัดก่อนฉันจะขับรถออกไปรอลูกค้าแป๊บเดียว เฮ่อ ค่อยยังชั่ว ความรู้สึกอึงอล ที่รู้สึกว่าเรายอมให้เขาเอาเปรียบ แล้วก็มาโมโหทั้งตัวเองและน้องเขา ก็ค่อยโล่งขึ้น ทำให้ฉันมาเขียนบทความนี้ขึ้น

การที่ครูบาอาจารย์บอกว่า จะละสิ่งใดได้ ต้องเห็นโทษภัยในสิ่งเหล่านั้นก่อน งั้นฉันขอทำตามครูบาอาจารย์ คือขอลิสท์โทษภัยของการปฏิเสธไม่เป็น ออกมาก่อน ดังนี้

-ทำให้เราสูญเสียสิ่งที่เราพึงมี พีงได้ อย่างถูกต้อง
การทุ่มเทลงแรงของเรา ก็เหมือนกับการดูแลทำนุบำรุงต้นไม้ เมื่อต้นไม้ให้ผล เราก็ควรจะได้รับผลอันชื่นใจของการทุ่มเทนั้นอย่างเต็มที่
การปฏิเสธไม่เป็น เท่ากับการลงแรงของเราสูญเปล่า กลับให้ผู้อื่นได้มาเก็บเกี่ยวพืชผลอันอุดมได้ โดยเราได้แต่มองตาปริบๆ ถือเป็นความโง่ที่เบียดเบียนตัวเองอย่างมาก ต่างจากการแบ่งปันด้วยความเมตตา ที่เราเต็มได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่เราพึงมีพีงได้อย่างเพียงพอแล้ว แล้วแบ่งปันให้แก่ผู้อื่นด้วยจิตใจที่อิ่มเอิบ

-การปฏิเสธไม่เป็น เกิดจากการอยากให้ผู้อื่นยอมรับ
ถ้าใครจะยอมรับเรา โดยมีเงื่อนไขว่าต้องยอมให้เขาเบียดเบียน ก็อย่าไปคบเขาเลย
ใจเราที่อยากให้ผู้อื่นยอมรับ ก็เพราะเราไม่เห็นคุณค่าของตัวเองว่าคู่ควรกับสิ่งดีๆ ใจเราไม่ยอมรับตัวเอง ไม่ได้ให้เกียรติ ปกป้องตัวเองเพียงพอ

-การปฏิเสธไม่เป็น คือการปลูกฝังนิสัยการละทิ้งตัวเอง ละทิ้งเป้าหมาย ละทิ้งความสุข ละทิ้งคุณค่าของตัวเอง เห็นคนอื่น งานของคนอื่น ความสำเร็จของคนอื่น มีค่ากว่าของเรา
แล้วชีวิตนี้จะไม่สามารถยืนหยัดบรรลุเป้าหมายของตัวเองได้

-เป็นการปลูกฝังนิสัยที่ไม่ดีให้กับผู้เบียดเบียนเรา
อันนี้ไม่ต้องอธิบายเยอะ เจ็บคอ

ทีนี้มาถึงวิธีปฏิเสธ เวลาคนอื่นทำสิ่งที่เบียดเบียนเรา (อันนี้ลอกจากคนอื่นในเว็บหลากหลาย เพราะคิดไม่ออก)

1-ใช้คำชมเข้าช่วย (ทฤษฎีชมแล้วชิ่ง)
“ขอบคุณนะที่นึกถึงกัน แต่ไม่ดีกว่า” “ฟังดูดี แต่ยังไม่รับปากดีกว่า”

2-บอกเหตุผลตรงๆ (ทฤษฎีตรง)
“กำลังยุ่งๆอยู่เลย” “ไม่มีเวลาเลยช่วงนี้”

-ปฏิเสธสั้นๆแบบไม่มีเหตุผลประกอบ (ทฎษฎีขวาน)
“ขอโทษนะ คงไม่ได้” “ไม่ค่อยสะดวกอ่ะจ้ะ” “คงไห้ไปด้วยไม่ได้ ไม่สะดวกจ้ะ”

3-ปฏิเสธสิ่งหนึ่ง แต่เสนอตัวเข้าช่วยอีกอย่างหนึ่ง (ทฤษฎี อยากช่วยนะ แต่ช่วยอย่างอื่นแทน)
“พี่ไม่สะดวก แต่ถ้าจะให้พี่ไปเป็นเพื่อนตอนน้องเจอปัญหาเดียวกัน ก็โอเคเลย”

4-หาโอกาสครั้งต่อๆไป (ทฤษฎีโอกาสหน้า)
“ไว้โอกาสหน้าเนอะ ครั้งนี้ไม่สะดวกจริงๆ”
(แต่โอกาสหน้าคงต้องตอบรับ เพราะฉะนั้นวิธีนี้ไม่work เท่าไหร่ ถ้าเราไม่อยากไป ไม่อยากทำตลอดไป)

-เลี่ยงไปก่อน เหมือนกับว่ายังตัดสินใจไม่ได้ (ทฤษฎี ตอนนี้ไม่ได้)
“ไม่สะดวกรับปากตอนนี้ ขอโทษด้วยค่ะ”

5-ปฏิเสธและแนะนำคนอื่นให้ (ทฤษฎีปัดไปให้คนอื่น)
“อันนี้คงทำให้ไม่ได้ แต่เดี๋ยวจะไปถาม……ให้ นะ”

-ปฏิเสธ โดยอ้างคนอื่น (ทฤษฎีบุคคลที่สาม)
“ขอบคุณมากที่ชวน แต่วันนี้มีนัดแล้วกับ………..”

ุ6-ไม่ตกลง และไม่ปฏิเสธ (ทฤษฎี ขอเวลาคิด)
“ขอคิดก่อนนะ เดี๋ยวจะมาให้คำตอบทีหลัง”

ขอบคุณที่มากวนตะกอน

เคยได้ยินคนอื่น หรือ กระทั่งตัวเราเอง พูดว่า ชั้นปล่อยวางเรื่องนั้นได้ เรื่องนี้ได้ ฉันว่าเป็นไปได้ยากค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวฉันเอง เพราะฉันเองเพิ่งจะด่าเพื่อนร่วมถนน(ด่าในใจนะคะ) ทั้งๆที่ฉันเองคิดว่าฉันใจเย็นไปเยอะแล้วค่ะ

ฉันว่ากรุงเทพช่วงตั้งแต่โควิดระบาด มีคนขับมอเตอร์ไซค์มากขึ้นน่าจะ 5-6 เท่าเลยค่ะ ทำให้การขับรถ ซึ่งถือเป็นการพักผ่อนที่วิเศษมากในใจฉัน กลายเป็นช่วงน่าโมโหไปซะงั้น เพราะเวลาขับรถ ก็จะมีมอเตอร์ไซค์ลัดเลาะ ซึ่งก็เป็นปกติของเขา แต่ที่ไม่ปกติและแย่มากคือพวกที่ฝ่าฝืนกฎจราจร หรือขี่แบบตรูจะขี่ตามใจตรู (เช่น ตอนเลี้ยว มอเตอร์ไซค์อยู่เส้นเลน ระหว่างเลน 2 และ 3 นับจากขวามือ ฉันผู้ซึ่งอยู่เลน 2 (ถนนนั้นเป็นถนนใหญ่ ให้เลี้ยวขวาได้สองเลน) พี่มอเตอร์ไซค์ก็เลี้ยวปาดแบบเกือบตั้งฉาก จากริมซ้ายของฉันไปขวาสุดทันทีขณะอยู่กลางวงเลี้ยง เพื่อไปขี่เลียบเกาะกลางของถนน ทั้งๆเมื่อเลี้ยวเข้าถนนใหม่เป็นทางตรงอีกยาว มันน่าเตะไหมคะ อันนี้ฉันก็หงุดหงิดๆ

แต่ที่เป็นการกวนตะกอนอย่างแรงก็คือ มีแยกหนึ่งฉันอยู่ซ้ายสุด จะเลี้ยวซ้าย แต่เป็นไฟแดง ฉันก็ต้องรอจังหวะให้รถทางอื่นที่ไฟเขียวแล้วจะเลี้ยวเข้าถนนเดียวกัน ได้เลี้ยวไปก่อน ซึ่งถนนมันแคบ ฉันจึงต้องดูจังหวะให้ดีก่อนจึงจะเลี้ยว จะได้ไม่ไปเบียดเขา แต่ฉันได้ยินเสียงโหวกเหวกลั่นถนนตะโกนออกมา แล้วอีกแป๊บก็มีมอเตอร์ไซค์เลี้ยวจากด้านขวาของรถฉันปาดหน้าแบบจงใจ พร้อมกับหันมาด่าฉันประมาณว่าเลนเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด (กรูก็อยากเลี้ยวโว้ยยย แต่จังหวะมันไม่ได้) ฉันนี่โมโหพุ่งปรี๊ด เกือนตะโกนด่าบ้าง แต่ก็นึกได้ว่า ด่าไปฉันก็ได้ยินคนเดียวนี่หว่า เลยไม่ด่าออกมา^^

หลังจากหายโมโหแล้ว จึงพยายามหาแง่งามของเหตุการณ์นี้ (ฉันฝึกอยู่) ก็คือ ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ให้รู้ว่าตัวเองกำลังโมโห(ขาดสติ (สตังค์ด้วย)) และต้องขอบคุณเขา เพราะเขาคือผู้กวนตะกอนให้ฉันเห็นได้ชัด ว่าฉันยังมีอัตตาอยู่มาก ประมาณว่า มรึงด่ากรู มรึงด่ากรู ตัวกูของฉันนี่เข้มข้นมากค่ะ เลยเกิดการป้องกันตัวอย่างแรงกล้า คือการจะตะโกนด่ากลับ ให้รู้ว่ามรึงน่ะแหละไม่รู้เหตุการณ์จริงแล้วยังมาด่าฉัน (แต่ดีที่ยังไม่ตะโกนจริง แต่ในใจตะโกนดังมากกกก 55555)

ฉันเลยสรุปกับตัวเองได้ว่า แง่งาม หรือ แง่ที่เป็นประโยชน์ มีในทุกเหตุการณ์ ถ้าหาแง่งามยังไงก็หาไม่เจอ จะมีอยู่อีกอันหนึ่งที่มีแน่นอน คือ เราได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นั้นบ้าง และจะพัฒนาตัวเองอย่างไร (เพลง Live and learn แว่วเข้ามาในหัวทันที 555)