กลับมาเอะใจ

มีช่วงหนึ่งฉันมีหน้าที่อบรมเซลส์ใหม่ แน่นอนว่าระหว่างคอร์สอบรม เราก็ต้องทำความรู้จักกัน พร้อมๆกับการสอนงานไปด้วยในระหว่าง 1 เดือน มีน้องคนหนึ่งหน้าตาดูรู้ว่ามีความแรง แต่ตอนช่วงอบรม แม้จะเป็นเด็กที่พูดตรงไปตรงมา แต่ก็ดูจริงใจ และสัมมาคารวะให้เกียรติผู้ใหญ่ดี ฉันก็เลยรู้สึกว่า บางทีเราก็ไปตัดสินคนที่หน้าตาเหมือนกัน

มีครั้งหนึ่งที่คุยกันน้องเล่าว่า พี่เชื่อไหม แต่ก่อนตอนเรียนหนูแรงนะ หนูเอาแต่ใจมาก นิสัยไม่ค่อยดี แต่หนูไม่รู้ตัวเลย พอเพื่อนบอก ก็คิดว่ามันอคติและโกรธมันด้วย จนมีวันหนึ่ง เพื่อนทั้งกลุ่มประมาณเกือบสิบคน มารุมล้อมหนูและบอกว่าหนูนิสัยไม่ดี ให้ปรับปรุงตัวซะ หนูฟังหนูก็โกรธมาก แล้วก็คิดว่าฉันนิสัยไม่ดีตรงไหนวะ พอพวกนั้นพูดๆๆจบแล้ว ก็เดินจากไป หนูอึ้งมากพี่ หนูกลับมาร้องไห้ทั้งโกรธทั้งเสียใจ แต่มีอยู่แว่บหนึ่ง หนูนึกขึ้นมาได้ว่า เอ่ ถ้าเราไม่ได้นิสัยไม่ดี ทำไมคนตั้งเกือบสิบคน ถึงเห็นตรงกันหมดนะ หนูเลยย้อนนึกเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา พบว่าหนูเป็นคนชอบวีน ชอบเอาแต่ใจตัวเอง เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ใส่ใจความรู้สึกคนอื่น พอหนูนึกได้แบบนี้ วันต่อมาหนูเลยไปขอโทษเพื่อน และตั้งใจปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น พอหนูตั้งใจแบบนี้แล้ว หนูก็ปรับปรุงนิสัยให้ดีขึ้นๆ เพื่อนชมว่าหนูเปลี่ยนไป น่ารักขึ้นมาก นี่แหละอดีตของหนูพี่ ถ้าหนูไม่เอะใจย้อนคิดวันนั้น หนูก็คงนิสัยแบบนั้นไปเรื่อยๆแน่ๆเลยพี่

เรื่องของน้องคนนี้ ก็ทำให้ฉันกลับมาย้อนทบทวนตัวเอง จากชีวิตที่ผ่านมา มีหลายๆครั้งที่คนที่หวังดี หรือ แม้ไม่หวังดีกับฉัน มาวิจารณ์ หรือ ให้ข้อแนะนำ แว่บแรกฉันก็มักจะโกรธ เพราะในใจลึกๆคิดว่าตัวเองดี ตัวเองเก่งอยู่แล้ว  แต่โชคดีที่แม้ว่าจะคิดแบบนั้น หลังจากหายโกรธแล้ว ฉันก็ยังเอาข้อแนะนำนั้นมาคิด ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้เสียหายอะไร ฉันก็จะลองทำดูเสมอ เพราะคิดว่า การตำหนิของคนอื่น มันจะมีข้อความที่เป็นประโยชน์ต่อฉันแฝงอยู่แน่นอน (มานึกได้หลังจากผ่านกลไกปกป้องตัวเองไปแล้ว เฮ่อ) ในมุมใดมุมหนึ่งเสมอเพียงแต่เราต้องหามุมมองนั้นให้เจอ