ให้ ให้ ให้ จนใจตัวเองแห้ง

เรื่องนี้เป็นเรื่องของนักบวชหญิงคนหนึ่ง(ขอไม่เอ่ยศาสนา) ที่ฉันรับรู้จากเพื่อนร่วมคลาสในคอร์สหนึ่ง วันนั้นเราคุยกันเรื่องการให้ น้องคนหนึ่งเล่าว่าที่สำนักเดียวกันกับน้องมีนักบวชหญิงอายุเลยวัยกลางคนไปแล้ว (ขอเรียกนักบวชหญิงท่านนี้ว่า แม่นิด นะคะ) มีคนในสำนักเล่าให้น้องฟังว่า ตอนสาวๆ แม่นิดเป็นคนใจดีมาก จัดว่าเป็นผู้อุทิศตัวเพื่อเด็กๆเป็นอย่างมาก ทั้งสอน ทั้งดูแลความเป็นอยู่สารพัด เด็กรุ่นแล้วรุ่นเล่าจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ปีแล้วปีเล่าที่แม่นิดทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย แม่นิดเป็นผู้ให้ต่อผู้อื่นเป็นอย่างมาก ตัวเองจะเป็นคนสุดท้ายที่แม่นิดคิดถึงอยู่เสมอ การทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยที่ติดต่อกันมาหลายๆปี โดยไม่เคยตอบสนองความต้องการของตัวเอง ไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเองมาตลอดติดต่อกันเป็นสิบๆปี ทำให้ใจแม่นิดแห้งผาก โหยหาการชาร์จพลังเหมือนแบตเตอรี่กำลังไฟต่ำ แม่นิดค่อยๆเปลี่ยนไป มีความเกรี้ยวกราดบ้างเป็นบางเวลา และมากขึ้นๆเรื่อยๆ จากการเป็นผู้ให้จนเกินกำลัง ตอนนี้กลายเป็นคนที่ ฉันต้องได้ก่อน และกลายเป็นคนเครียด ไม่มีความสุข แต่ยังดีที่คนรอบตัวในสำนักมีความเข้าใจ เห็นใจแม่นิด แต่ก็ไม่ค่อยกล้าเข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมมากนักเพราะกลัวความเกรี้ยวกราดของแม่นิด และไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร

น้องที่เล่าให้ฟังก็บอกว่าเห็นแม่นิดแล้วกลัวตัวเองเหมือนกัน กลัวว่าจะเป็นเหมือนแม่นิด ที่ชีวิตอุทิศตัวในการให้ จนไม่ได้เติมเต็มใจตัวเอง รู้สึกว่าเข้าใจแม่นิดดี เพราะขนาดตอนนี้ น้องยังอายุน้อย แต่การอยู่ในบรรยากาศที่ต้องเสียสละตลอดเวลาทั้งๆที่ใจตัวเองยังไม่สามารถเติมเต็มได้ ทำให้บางเวลาน้องก็ไปผ่อนคลายแบบที่ไม่ผิดกฎระเบียบ แต่อาจดูแปลกๆสำหรับคนทั่วไปบ้าง เช่น เข้าร้านกาแฟ แต่น้องก็บอกว่าไม่งั้นหนูอยู่ได้ไม่ตลอดรอดฝั่งแน่พี่ หรืออยู่ได้หนูก็คงไม่มีความสุขมากขึ้นไปเรื่อยๆ

เรื่องนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าการให้ต้องให้แบบไม่เบียดเบียนตัวเอง เราถึงจะทำได้ด้วยใจเบิกบาน และใจที่เบิกบานนั้นก็จะเป็นการชาร์จไฟให้แบตเตอรี่ เพื่อให้เราได้มีการให้ครั้งต่อไปได้เรื่อยๆ คงต้องเตือนตัวเองบ่อยขึ้นเพราะฉันชอบให้โดยเบียดเบียนตัวเองเหมือนกัน(แอบกลัว)