พยายามอภัย แต่อภัยไม่ได้

เรื่องของการให้อภัย เป็นเรื่องยากสำหรับบางคน และเป็นเรื่องง่ายสำหรับบางคน ดังเรื่องราวต่อไปนี้

วันนั้นฉันมีนัดกับเพื่อนอีกสองคน เพราะเพื่อนคนหนึ่งในสองคนนั้นโทรมาระบายความในใจเรื่องชีวิตแต่งงาน (ปกติเวลาที่เจอกันจะนัดกันเป็นกลุ่มใหญ่และพูดสัพเพเหระ ฉันเลยไม่รู้เรื่องส่วนตัวของเธอเท่าไหร่) ฉันเห็นท่าไม่ดี (เพราะตัวเองก็ไม่มีประสบการณ์ตรงแบบนั้น) เลยนัดกินข้าวกับเพื่อนอีกคนในกลุ่มที่สนิทกับทั้งฉันและเธอ เผื่อจะช่วยอะไรเธอได้บ้าง

เมื่อเจอกันเพื่อนคนนี้เล่าว่า หลังแต่งงานใช้ชีวิตคู่มายาวนานเกือบ 20 ปี ชีวิตคู่ที่จริงๆแล้วอาจใช้ชีวิตด้วยกันน้อยกว่าอายุสมรส เพราะทั้งสองฝ่ายต้องทำงานที่ต้องเดินทางอยู่เกือบตลอดเวลา ยามที่ได้มาอยู่ด้วยกัน ถึงแม้จะมีแง่งอนหรือไม่พอใจกันบ้าง ก็มีช่วงเวลาต้องห่างให้คิดถึงกัน ทำให้ประคองชีวิตคู่กันมาได้อย่างราบรื่น และในสายตาคนภายนอกนั้นเป็นดูเป็นคู่ที่รักกันมาก แต่ภายใต้ความราบรื่นนั้น ก็มีกิเลสที่มีระลอกคลื่นเล็กๆใต้น้ำแฝงอยู่ และคลื่นนั้นก็เริ่มปรากฎตัวใหญ่ขึ้นผุดขึ้นมาเหนือน้ำ เมื่อสามีมีคนที่เข้ามาในชีวิตเพิ่มขึ้น ความเป็นสิ่งใหม่ของชีวิต ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่าเห่อของใหม่ ฝ่ายเธอนั้นก็เริ่มรู้เลาๆแต่ด้วยความที่ไว้วางใจมาก จึงหาข้อแก้ตัวอยู่ในใจให้สามีเสมอ และคิดว่าคงไม่จริง คงเป็นข่าวลือที่ไม่จริงมากกว่า เราควรไว้ใจสามีตัวเองมากกว่าใครๆ วันแล้ววันเล่ากับการโกหก เธอเองก็พยายามไม่อยากรับรู้ความจริงที่จะทำร้ายใจตัวเอง แม้จะมีคนส่งข่าวและเช็คแล้วว่าเป็นข่าวจริง แต่พอไปคาดคั้น ฝ่ายสามีก็ปฏิเสธและบอกให้เชื่อใจ แม้จะพยายามเชื่อใจ แต่ความไว้วางใจที่มีให้ เริ่มถูกกัดกร่อนไปทีละน้อยๆกับเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเหตุการณ์ล่วงเลยมาประมาณ 3 ปี ในที่สุดความไว้วางใจที่มีให้ก็สิ้นสุดลง เหลือเพียงความระแวงที่เป็นยาพิษกัดกร่อนหัวใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนในที่สุดเธอก็ขอหย่า ขอแยกออกไปอยู่คนเดียวด้วยความโกรธแค้นที่มีอยู่เต็มหัวใจ ความไว้วางใจที่มีให้กลับถูกตอบแทนด้วยการทรยศ ระหว่างที่เธอแยกออกมาอยู่คนเดียว ฝ่ายสามีก็ได้ตามมาง้อขอคืนดีและขอให้กลับมาอยู่ด้วยกัน คนในครอบครัวเธอก็ล้วนแต่ช่วยกันพูดให้เธอกลับไปอยู่กับสามี แต่ในใจของเธอที่เต็มไปด้วยความรักความแค้นมันประดังประเดเหมือนมรสุมในใจ ความรักก็ตัดไม่ขาด ความแค้นก็แน่นอก ฝ่ายสามีเองก็ได้วนเวียนมาง้อและสารภาพผิด รวมทั้งเลิกกับมือที่สามอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและขอโอกาสแก้ตัว เพราะรู้คุณค่าของเธอแล้วในยามที่ไม่มีเธออยู่ เขาผิดพลาดไปแล้ว แต่ความรู้สึกของเธอเหมือนแก้วแตกไปแล้ว มันไม่เหมือนเดิม เอากาวมาเชื่อมอย่างไรก็เห็นรอยแตกไม่สามารถสมานกันได้สนิทเหมือนเดิม เธอถามว่าเธอจะทำอย่างไรดี รู้อยู่ว่าควรให้อภัย แต่ใจมันให้อภัยไม่ได้ รักก็รัก แค้นก็แค้น เธอจะทำอย่างไรต่อไปดี

ฉันกับเพื่อนอีกคนมองหน้ากัน นึกในใจเอาไงดีวะ ในที่สุดฉันก็คิดว่าเอาไงก็เอากัน เราก็คุยกันแบบเราเป็นเสมอนอก เป็นobserverของเหตุการณ์แล้วกัน ฉันกับเพื่อนก็บอกเธอว่าพวกเราพอจะเข้าใจว่าเมื่อเราไว้วางใจใครอย่าง 100% แล้วคนนั้นกลับเห็นความไว้วางใจของเราเป็นเครื่องมือให้เขาทำผิดกลับมาทำร้ายเรา เป็นเราๆก็ทั้งโกรธและแค้นเหมือนเธอ หรืออาจมากกว่าเธออีก แต่ในสายตาคนนอกอย่างเรา(เวลาเป็นปัญหาของคนอื่น แหม่ เห็นชัดเจน แต่พอของตัวเราเอง…. หึหึ) เรามองว่า

ก่อนอื่นอยากให้เธอมีมุมมองแบบนี้ก่อน
1 การให้อภัยเป็นเรื่องของเราเอง ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเป็นเรื่องของจิตใจเราที่จะเป็นอิสระจากความโกรธแค้น เป็นเรื่องความสุขของตัวเรา
2 การให้อภัยมันไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นที่ต้องไปโอบกอดหรือไปบอกเขาเป็นคำพูดว่าเราให้อภัย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในใจเราล้วนๆ
3 ในเมื่อใจยังไม่ให้อภัย ก็ไม่ต้องบีบคั้นที่จะต้องให้อภัย
4 ถ้าเชื่อกฎแห่งกรรม ก็ควรคิดว่าเราอาจเคยทำเขามาก่อนในชาติที่แล้วๆ หรือถ้าเป็นกรรมที่ไม่เคยทำต่อกันเป็นกรรมใหม่ที่ริเริ่มในชาตินี้ เขาเองก็จะต้องเป็นผู้รับผลแน่ๆ ไม่ช้าก็เร็ว
5 มองความจริงที่ว่า ปุถุชนทุกคนย่อมมีกิเลส แต่เรามีความเข้มแข็งที่จะชนะกิเลสไม่เท่ากัน เขาเป็นคนอ่อนแอแพ้ต่อกิเลส
6 ลองสังเกตตัวเองเมื่อเรามีความโกรธแค้น เราเลี้ยงความโกรธแค้นไว้เพราะ
-เรารู้สึกว่าเราเป็นคนที่ถูก เขาเป็นคนที่ผิด ทำให้เรารู้สึกเราเป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำ
-เป็นการลงโทษให้เขารู้สึกผิด ทั้งๆที่จริงๆแล้วเขาอาจไม่รู้สึกอะไรเลย
-ทำให้เรารู้สึกมีพลังอำนาจขึ้นจากความโกรธ ช่วยเยียวยาความรู้สึกอ่อนแอภายในได้
7 อดีตมันผ่านไปแล้ว กลับไปแก้อะไรไม่ได้ อย่าให้ความคิดถึงอดีต มาบั่นทอนปัจจุบันและอนาคตของเราเลย มันเป็นอากาศไปแล้ว
8 มองความจริงว่า เรามีส่วนร่วมให้เกิดเหตุการณ์นั้นอย่างไรบ้าง ด้วยการถอยออกมามองเหตุการณ์เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนอื่น ไม่ใช่เกิดขึ้นกับตัวเอง
-เรา”ยอม”ที่จะให้เขาทำความผิดมาเนิ่นนานเกินไปหรือเปล่า หรือ เราไม่เคยพูดกันจริงๆถึงความสัมพันธ์ พันธะ สัญญาของชีวิตคู่ที่ต้องมีให้แก่กัน หรือมีอะไรบ้างในใจเกี่ยวกับเราที่เราไม่เคยฟังเขาจริงๆ หรือ อื่นๆ…. ลองสำรวจตัวเอง และความสัมพันธ์ในอดีตที่ผ่านมา
9 แม้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำนั้น มันผิดจริงๆ แต่เราจะยอมให้สิ่งที่เขาทำผิด มาบั่นทอน มามีอิทธิพลต่อความสุข ของเราตลอดชีวิตเลยหรือ คุ้มแล้วหรือ เรามีสิทธิที่จะมีความสุขได้โดยไม่ต้องถูกกักขังด้วยความโกรธ
10 ความโกรธแค้นที่มีให้โทษ หรือประโยชน์แก่เรากันแน่

อยากให้เธอลองใช้มุมมองข้างบนดู ส่วนในการปฏิบัตินั้น เราสองคนก็แนะเธอไปว่า

ให้เธอลองฝึกมีสติ ณ ปัจจุบันขณะ คือรู้สึกตัวในปัจจุบัน ถ้ารู้ตัวว่าเผลอไปคิดเรื่องที่ทำให้โกรธแค้น ก็อย่าไปคิดต่อ เปลี่ยนอารมณ์ด้วยการไปหาอะไรทำ หรือกลับมาโฟกัสสิ่งที่กำลังกระทำอยู่ ไม่ปล่อยให้เหม่อลอยฟุ้งซ่านจินตนาการเติมแต่งอดีตในความจำ ให้หล่อเลี้ยงความโกรธให้ยืดยาว หรือมากขึ้น พอเผลอไปคิดอีก ก็กลับมาอยู่กับปัจจุบันอีก พอฝึกสติกับปัจจุบันบ่อยๆ ความโกรธแค้นก็จะค่อยๆลดลงไปเอง

ส่วนการที่เธอจะกลับไปคืนดีหรือไม่ เป็นเรื่องทีหลัง ฝึกใจของตัวเองให้สบายก่อน แล้วเมื่อนั่นจะรู้เองว่าจะกลับไปใช้ชีวิตร่วมกันอีกหรือไม่ ขณะนี้อาจบอกสามีไปว่าช่วงนี้ขอเวลาพักใจก่อน ยังไม่พร้อม ระยะแรกอาจขอเวลาสัก 2-3 เดือนก่อน ให้มีกำหนด แต่ถ้าถึงเวลาเรายังไม่พร้อม ก็ขอเพิ่มเวลาได้ ถ้าเขารักเราจริง ก็ต้องรอเราได้และซื่อสัตย์ต่อเรา ถ้าเรากลับไปในขณะที่เรายังโกรธแค้นอยู่ แน่นอนว่าเมื่อใจโกรธแค้น คำพูด หรือการกระทำ มันก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แล้วมันอาจจะยิ่งทำให้การคืนดีด้วยใจที่แท้จริงมันยากขึ้นไปอีกก็ได้

แนวทางข้างบนอาจไม่ใช่แนวทางที่ดีที่สุด แต่ก็ขอให้เธอลองเอาไปพิจารณาดู แต่ถ้าผู้อ่านคิดว่าเป็นประโยชน์ และนำไปใช้ให้ตัวเองเป็นอิสระจากความโกรธแค้นได้ ก็แอบดีใจค่ะ^^