เรามักเผลอประเมินแต่รูปธรรม

สมัยฉันเรียนปริญญาโท ได้รู้จักเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่ง ชื่อพี่มิน พี่มินจบปริญญาตรีสายการเงิน การบัญชีมา แกมีบุคลิกเอาจริงเอาจัง ทำงานจริงจัง แต่แกก็เป็นคนเฟรนด์ลี่ เวลาไปเที่ยวก็เที่ยวแบบไม่เอาเรื่องงานมาคิด สามารถตัดงานออกจากหัวได้ ที่ต้องอธิบายอย่างนี้ก็เพื่อให้รู้จักแกแบบคร่าวๆก่อนค่ะ เราก็เรียนไป เที่ยวไปด้วยกันจนจบค่ะ

หลังจากเรียนจบแล้ว ก็ติดต่อกันบ้างเป็นระยะๆตามการกินวงแชร์ประจำรายเดือน รายสองเดือนบ้าง จนต่อมาแกก็หายๆไป ฉันก็ไม่ได้ติดต่อแกใกล้ชิดนักจนเวลาผ่านไป 3-4 ปี ตอนนั้นแกก็อายุประมาณ 30 กว่าๆ น่าจะประมาณ 35 แกได้โทรมาคุยกับฉัน ก็ถามทุกข์สุขตามเรื่องตามราว แกเล่าว่าในช่วงระยะ 3-4 ปีที่แกหายไป ไม่ติดต่อเพื่อน แกได้งานใหม่ กินตำแหน่งใหญ่ประมาณผู้บริหารสูงสุดด้านการเงินของบริษัทข้ามชาติ บริษัทหนึ่ง ถือว่าแกได้ตำแหน่งใหญ่ทั้งๆที่อายุยังไม่มาก แต่อย่างที่บอก แกเป็นคนทำงานเก่ง เอาจริงเอาจัง เลยไม่แปลกใจที่แกได้ทำงานตำแหน่งนี้

แกเล่าต่อว่าเชื่อไหมว่า 3-4 ปีนี้ แกย้ายมา 3 บริษัทแล้ว ไม่ใช่เพราะทำงานไม่ประสบผลสำเร็จ แต่งานดีมาก แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือสุขภาพกาย แกทำงานที่ละ 1 ปี ช่วงแรกของการทำงานแต่ละปีนั้น สุขภาพจะยังไม่เป็นปัญหา ทำงานได้ แต่พอทำไปๆชักเข้าเดือนที่ 6-7 แกจะมีอาการภูมิแพ้อย่างหนัก และมีอาการไอตลอด แกดูทรงแล้วคิดว่าต้องลาออก เพราะเริ่มต้องลาหยุดบ่อย แม้จะเสียดายเงินเดือนสูงลิบลิ่วเพียงใดก็ตาม แกก็จำใจต้องขอลาออก หลังการลาออกแต่ละที่ สุขภาพแกจะค่อยๆฟื้นตัวขึึ้น จนประมาณ 3-4 เดือนก็จะหายสนิท สุขภาพแข็งแรงเหมือนเดิม แกก็จะเริ่มหางานใหม่อีก แล้วก็จะเข้าลูปวนเวียนแบบนี้ ตอนที่แกโทรหาฉันนี้ แกก็เพิ่งลาออกจากบริษัทที่ 3 มา แกเปรยๆว่าต่อไปนี้จะสมัครบริษัทที่เล็กลง งานจะได้ไม่เครียดมาก แม้จะแอบเสียดายเงินเดือนที่สูงเวอร์วังก็ตาม แต่เดี๋ยวขอพักฟื้นฟูร่างกายให้ดีก่อน แล้วค่อยหางานต่อ

เรื่องของพี่มินนี้ ทำให้รู้เลยว่า การที่เราเลือกอย่างหนึ่ง มันก็จะเสียอีกอย่างหนึ่งเสมอ และสิ่งที่ควรให้ความสำคัญให้มากก็คือความสุข มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะได้อย่างอื่น แต่ไม่มีความสุข แถมได้ปัญหาสุขภาพตามมา