ส่องกาย ส่องใจ

ฉันเป็นคนชอบเรียนมาก ว่างเป็นต้องลงเรียน ที่ชอบคือเรียนสิ่งที่ไม่ใช่วิชาการ ซึ่งขัดกับหน้าเด็กเนิร์ดของฉันมากกก เวลาเรียนเป็นช่วงเวลาที่แสนจะมีความสุขที่จะได้รู้อะไรแปลกๆใหม่ๆ คอร์สแนวที่ชอบคือแนวเกี่ยวกับจิตใจ โดยปฐมฤกษ์เกี่ยวกับการเรียนเกี่ยวกับจิต คือการลงเรียนเรื่องเกี่ยวกับสะกดจิต ครั้งแรกเมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว โดยในคอร์สเรียนมันมีอะไรที่น่าสนใจและแปลกใจมากเลย ไม่น่าเชื่อว่าจิตเราจะมีพลังมากขนาดนั้น ไว้วันหลังจะมาเขียนเล่าให้ฟังค่ะ เป็นคอร์สสุดโปรดเลย

ต่อจากนั้นก็เรียนเรื่องโน้นเรื่องนี้เรื่อยมา จนมีช่วงหนึ่งฉันค้นอากู๋เพื่อหาคอร์สสะกดจิตขั้นกลางและสูงเพื่อเรียนต่อ ก็ได้มาเจอเว็บไซต์หนึ่งที่น่าสนใจคือ punnspace.com (ปัญญฺ สเปซ) ซึ่งมีคอร์สฟรีๆมากมาย ไม่น่าเชื่อว่าหลายๆคอร์สในนั้นจะเปิดให้เรียนฟรีในเว็บ (แนะนำๆเลยค่ะ) และถ้าอยากเรียนเพิ่มเติมให้ลึกขึ้น ก็มีคอร์สต่อเนื่องให้ลงแบบมีค่าใช้จ่าย (ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ย่อมเยามาก) แต่คอร์สที่เปิดก่อนคอร์สพลังแห่งจิตคือคอร์สเขียนข้ามขอบซึ่งอยู่ในหมวดเขียนเปลี่ยนชีวิต ฉันก็ลงไปยังงั้นๆไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่สิ่งที่ได้มาคุ้มค่ามากๆค่ะ คือในคอร์สจะให้เราเขียนในหัวข้อต่างๆที่ครูกำหนดมา โดยมีเทคนิคการเขียนที่สำคัญคือ การเขียนไม่หยุดปากกา (ในคอร์สยังมีเทคนิคอื่นอีกหลายอย่าง เช่นเขียนด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด เขียนแบบเชื่อมโยง ….) เพื่อไม่ให้ได้มีการทบทวนปรับแก้ เป็นการเขียนตามการหลั่งไหลของความคิด ความรู้สึกและอารมณ์ในขณะนั้น เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ก็จะต้องมีการเขียนสิ่งที่ปิ๊งขึ้นมาหรือบทเรียนที่ได้จากการบันทึก และก็จะส่งบันทึกให้ครูทางอีเมล์ ครูก็อาจให้เราทบทวนเพิ่มเติม สะท้อนบางอย่างให้เรา หรือมีการแนะนำเพิ่มเติม

คอร์สนี้ทำให้รู้ว่า เวลาที่เราเขียนบันทึกถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา เมื่อเราได้มาอ่านในภายหลังจากที่เขียนจบแล้ว ความรู้สึกมันจะเหมือนกับเอาเรื่องของคนอื่นมาอ่านเลย เราสามารถเห็นรูปแบบความคิด เห็นข้อดี ข้อด้อย สิ่งที่ควรพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น และสิ่งที่ควรปรับปรุง เหมือนเราทำ SWOT analysis ผลิตภัณฑ์เลยล่ะค่ะ มีบันทึกหนึ่งตอนฉันเขียนก็ไม่ได้มาวิเคราะห์อะไร เพราะเขียนความคิด อารมณ์ ความรู้สึกทุกอย่างที่ไหลผ่านเข้ามา เป็นการเขียนเกี่ยวกับชีวิตช่วงที่จิตใจยำ่แย่ที่สุด พอมาอ่านทบทวนเมื่อเขียนเสร็จแล้ว ฉันก็ว่าสิ่งที่เขียนนั้นมันช่างสมเหตุสมผลที่ฉันควรจะรู้สึกอย่างนั้นแล้ว(เพราะอารมณ์ยังคุกรุ่นตกค้างอยู่) ฉันทำดีที่สุดแล้ว แต่หลังจากนั้นหลายเดือนได้กลับไปอ่านทบทวนใหม่ คราวนี้ความรู้สึกแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เนื้อความที่เขียนนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านที่ฟ้องออกมาในรูปแบบตัวอักษรที่สัมผัสได้ชัดเจน จนคิดว่าเรามีอารมณ์รุนแรงขนาดนั้นเลยหรือในช่วงนั้น เหมือนกับอ่านบันทึกของใครก็ไม่รู้ที่อารมณ์รุนแร้ง รุนแรงและเมื่ออ่านจบแล้วรู้สึกเลยว่าอยากปรับปรุงการจัดการอารมณ์ของตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อจะไม่สร้างปัญหากับชีวิตแบบเดิมๆอีก

ฉันเคยได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้จากการเขียนมาหลายเล่มมาก แต่ไม่เคยศรัทธาที่จะลงมือเขียนเลย แต่พอได้มาลงคอร์สที่ทำให้ต้องลงมือเขียนจริง ก็พบว่าการเขียนบันทึกสามารถเป็นกระจกสะท้อนภายในของเราได้เป็นอย่างดีมากๆ และก็มาคิดว่า ในเมื่อเราส่องกระจกดูร่างกายของเราทุกวันอยู่แล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็ควรที่จะมีการส่องใจของเราด้วยการเขียนและวิเคราะห์บันทึกดูเพิ่มเติมจากการส่องกาย ซึ่งก็จะทำให้เราเข้าใจตัวเองได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และนำไปปรับปรุงพัฒนาตัวเองต่อไปในปัจจุบันและอนาคตได้

อยากให้ทุกคนที่เข้ามาอ่าน ได้ลองลงมือเขียน อาจเขียนแบบไดอารี่คือเขียนทุกวันและกลับมาอ่านทบทวนกันนะคะ สนุกและมีประโยชน์มากๆเลยค่ะ