อย่าเป็นคนดีสำหรับทุกคน แต่กลับไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเอง

เมื่อวานได้ฟังเรื่องราวจากเพื่อน ถึงเพื่อนของเธออีกคนหนึ่ง ฟังแล้วเศร้าใจ เพราะเป็นเรื่องราวที่คนเดี๋ยวนี้เป็นกันมาก คือโรคไม่รักตัวเองค่ะ

จริงๆเดี๋ยวนี้คนเราเป็นโรคทางใจกันเยอะนะคะ ฉันว่าเพราะการให้คุณค่าทางวัตถุมากเกินไป จนหลงลืมการเข้ามาหาความสงบสุขทางใจ ลองสังเกตกันดูนะคะ เปรียบเทียบตัวเองกับเมื่อ 5 ปีก่อน
จะพบว่าความสงบสุขทางใจเราลดน้อยลง เพราะมีสิ่งเร้าจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งเร้าที่อยู่ข้างกายบนมือถือพวกsocial media นี่เอง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยค่ะ ที่คนมีความสุขจริงๆกันน้อยลง มีความสุขที่ “คิดว่าสุข” มากขึ้น

นอกเรื่องที่จะเล่าไปค่ะ^^ เรื่องราวของเพื่อนของเพื่อนฉันที่ได้ฟังมาเป็นแบบนี้ค่ะ สมมติชื่อพี่คนนี้คือพี่เจ นะคะ เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว พี่เจเป็นสาวโสดจริง โสดจัง ทำงานมั่นคง เป็นสาวสดใสร่าเริง เฮฮา ถึงไหนถึงกัน อยู่มาวันหนึ่ง พี่สาวที่แต่งงานแล้ว เอาลูกมาฝากให้เลี้ยง ฝากแบบชนิดฝากลืมเลยล่ะค่ะ คือ ไม่ได้ส่งเสียเงินทองอะไรทั้งสิ้น พี่เจที่ตอนนี้เป็นแป้ หรือม่า (ป้า หรือ แม่ ขอมีมุกฝืดๆนินุง) ก็ไม่ว่าอะไร ก้มหน้าก้มตาเลี้ยงหลานแบบรักสุดหัวใจ ด้วยความสุขใจแบบคนดี ในระยะเวลาประมาณอีก 1 ปีกว่าๆต่อมา พี่สาวก็เอาลูกคนเล็กวัย 3 เดือนมาให้เลี้ยงอีก 1 คน พี่เจ ก็เริ่มมีภาระที่หนักขึ้นๆ แต่ก็ยินดีเลี้ยงให้ค่ะ กลางวันไปทำงาน เย็นไปรับจากเนอร์สเซอรี่ มาเลี้ยงต่อช่วงกลางคืน และต่อมาก็ส่งเรียนหนังสือ ตามสเต็ปชีวิต ชีวิตวนเวียนแบบนี้จนเด็กๆโตจนเข้ามหาวิทยาลัย

ชีวิตที่คิดว่าใกล้ส่งหลานถึงฝั่ง อีกนิดเดียวหลานก็จะจบแล้ว แกคงจะเริ่มทำงานได้ชิลๆ ไม่ต้องเครียดเรื่องภาระทางการเงินมากเหมือนแต่ก่อน พี่เจก็มีความผ่อนคลายขึ้นค่ะ และในส่วนลึกๆก็หวังว่าหลานๆจะช่วยดูแลยามแก่ชรา ไม่ตายโดดเดี่ยวแน่

แต่ เพราะชีวิต คือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป…(ชะอุ๊ย เพลง Live and learn ของคุณป้ากมลา สุโกศล ก็มาค่่ะ) ชีวิตก็มีการพริกผัด เอ้ย พลิกผัน เอ้ย พริกแกง เอ้ย ถูกแล้ว แหะ พลิกผันค่ะ คือแม่ของเด็กๆกลับมาอยู่ด้วย เด็กๆที่ถูกแม่ทิ้งเนี่ย ลึกๆก็โหยหาแม่อยู่แล้วใช้ไหมคะ พอแม่กลับมาด้วยบทบาทของคุณแม่ผู้แสนดี แสนจะเข้าใจลูกวัยทีน เด็กๆ(ที่จริงไม่เด็กแล้ว วัยมหา’ลัยแล้ว) ก็ติดหนึบหนับเพราะความขาดที่ผ่านมา ในขณะที่ป้า กลายเป็นอีป้าช่างบ่น ช่างสอน น่าเบื่อ ไปโดยอัตโนมัติ กลายเป็นคนวงนอกในบ้านตัวเอง และหลานๆก็แสดงชัดมากว่าไม่อยากให้ป้าอยู่ด้วย (ทั้งๆที่บ้านก็บ้านป้า ค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าเทอม ค่ากินอยู่ เงินป้าทั้งนั้น)

เรื่องราวต่อไปก็เป็นตามที่คาดค่ะ คือป้าก็กลายเป็นป้าหัวเน่า เพราะในบ้านแบ่งเป็น 2 ทีม ทีมป้า (มีป้าคนเดียว) และทีมแม่ลูกผูกพัน ที่รวมหัวเป็นพวกเดียวกัน และใช้ท่าที คำพูด ที่แสดงให้เห็นเด่นชัดว่า ป้าช่างเป็นคนที่น่ารำคาญมาก น่าเบื่อมากๆ ไม่อยากให้อยู่ในบ้าน (ห้ะ!!!) ใจของป้าตอนนี้ วนเวียนอยู่แต่กับความคิดที่ว่า “ฉันเป็นคนดี รักครอบครัว ฉันสู้ชีวิต ฉันรักหลานเหมือนลูก ส่งเสียเลี้ยงดูอย่างดี ทำไมถึงได้ผลตอบแทนแบบนี้” ป้าคนดีตอนนี้กลายเป็นป้าผู้คิดลบ ผิดหวัง ขี้ประชด กระแนะกระแหน ไร้ความสุข ครำ่ครวญ เมื่อป้ายิ่งเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งถูกทีมแม่ลูกผูกพัน แบ่งแยกมากขึ้น ป้าก็ยิ่งอยู่ในวงล้อมของความเศร้าสร้อยมากขึ้นเรื่อยๆ

เรื่องของพี่เจข้างบนนี้ เชื่อว่ามีหลายๆคนก็มีเรื่องราวเช่นเดียวกันนี้ และกำลังระทมทุกข์ไม่ต่างจากพี่เจในขณะนี้ เรื่องแบบนี้มันทุกข์มากนะคะ ใครไม่เจอไม่รู้หรอกค่ะว่ามันเจ็บปวดใจสักเพียงใด

แต่ขอให้ตั้งสตินะคะ เราจะยอมทนอยู่ถูกโอบล้อมด้วยความทุกข์แบบนี้จนตายไม่ได้นะคะ เรามีทางเลือกค่ะ ชีวิตเราไม่ใช่เราต้องปล่อยไปตามปัจจัยที่คนอื่นเลือกที่จะกระทำกับเรานะคะ แต่เรามีอำนาจที่จะเลือกชีวิตตัวเราเองค่ะ รวมถึงสุข ทุกข์ของเราเองด้วยค่ะ มันเป็นความรับผิดชอบของตัวเรา 100% เพราะฉะนั้นลุกขึ้นสู้ด้วยตัวเองค่ะ สุข ทุกข์อยู่ที่ใจนะคะ เพราะฉะนั้น เราต้องแก้ที่ใจค่ะ
ลองมาค่อยๆปรับจิตปรับใจกันนะคะ

  • เริ่มจากสร้างความเชื่อค่ะ ว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไปเป็นคนที่มีความสุขได้ แม้สภาวะแวดล้อมจะเป็นอย่างไรก็ตาม
  • ระลึกและจดบันทึกถึงความดีของตัวเองที่ผ่านมา สิ่งดีๆ เรื่องราวดีๆที่เราทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และขอให้เขียนไดอารี่บันทึกสิ่งดีๆไม่ว่าจะเป็นการกระทำของเรา หรือ สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะเล็กจะน้อยแค่ไหน ก็ให้บันทึกไว้ทุกวันค่ะ อันนี้ไม่ใช้เรื่องเล็กน้อยนะคะ แม้ดูว่าการบันทึกเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย แต่เชื่อไหมคะว่า ผลของมันมหัศจรรย์มากเลยล่ะค่ะ อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ให้ลองทำดูอย่างน้อย 1 สัปดาห์ค่ะ แล้วขอแนะนำอย่างยิ่งให้ทำทุกวันตลอดไปเลยค่ะ
  • ให้ระลึกไว้ว่า ไม่มีเรา เขาก็อยู่ได้ มนุษย์มีความสามารถในการปรับตัวมากกว่าที่เราคิดนะคะ ลดความห่วงกังวล เพราะเขาอาจไม่ได้ห่วงกังวลเรา เหมือนที่เราห่วงเลยก็ได้
  • ออกไปสู่สังคมใหม่ อย่ากักตัวเองไว้กับวงเดิมๆ ให้ออกไปสู่โลกกว้าง มีสังคมของเราเอง มีเพื่อนใหม่ๆ แล้วจะร้องว้าวเลยล่ะค่ะ ว่ารู้งี้ทำอย่างนี้ต้องนานแล้ว
  • ดูแลตัวเองโดยไม่ต้องรู้สึกผิดค่ะ ความรู้สึกผิดเป็นคุกกักขังเราไว้นะคะ แหกคุกออกมาค่ะ การทำให้ตัวเองมีความสุขไม่ใช่เรื่องผิด มีทั้งเรื่องใช้เงิน และไม่ใช้เงิน แต่ขอให้เป็นสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข
  • ยอมรับตัวเองในสิ่งที่เราเป็น คือ รู้และยอมรับในข้อดี ข้อด้อยของตัวเอง ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ในข้อด้อยของตัวเอง (แล้วค่อยปรับให้ดีขึ้นๆ ด้วยความรู้สึกอยากพัฒนา ไม่ใช่เกลียดมันนะคะ) และภาคภูมิใจในข้อดีของตัวเอง
  • ชีวิตของเขาคือชีวิตของเขา มันไม่มีทางเป็นของเราได้ จะยื้อจะแย่งจะบังคับให้เขารัก ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ลองย้อนนึกถึงตัวเองเลยค่ะ ถ้ามีคนบังคับให้เราชอบ ให้เรารักเขา มันเป็นไปไม่ได้ ใช่ไหมคะ
  • กฎแห่งกรรม ไม่ใช่ไปแช่งเขานะคะ แต่ให้คิดว่าถ้าเราสร้างเหตุ เราก็ต้องรับผลแน่นอน เพราะฉะนั้นผลของการกระทำของเรา เราก็ต้องรับผล เขากระทำอย่างไรไว้ เขาก็ต้องรับผลต่อไปในภายภาคหน้า เพราะฉะนั้น ดูแลความคิด การพูด การกระทำของเราให้ดี เพราะมันเป็นความรับผิดชอบของเราเองค่ะ เขาก็ต้องรับผิดชอบของเขาเช่นกัน
  • ฝึกสติเพื่อให้อยู่กับปัจจุบันขณะ และนั่งสมาธิเพื่อเพิ่มพลังของจิต บ้างนะคะ จะช่วยให้มีความสุขขึ้น และลดความฟุ้งซ่าน คิดมาก ได้อย่างมากเลยล่ะค่ะ เชื่อไหมคะ ว่าจะได้ยารักษาใจชั้นเยี่ยมเลยล่ะค่ะ ลองดูนะคะ

สุดท้ายขอให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่าน เป็นคนดีที่มีความสุขมากๆเลยนะคะ^^