ตัดสินใจที่จะสำเร็จ

ฉันเคยได้รู้จักน้องคนหนึ่งชื่อน้องนิ่ม ตอนนั้นน้องนิ่มเป็นน้องฝ่ายขายที่เพิ่งเข้าใหม่ ซึ่งต้องมีช่วงการอบรมความรู้และทักษะการขายต่างๆกับฉัน ในช่วงการอบรม 1 เดือนนั้น เท่าที่เห็นน้องนิ่มก็ดูเป็นคนค่อนข้างเนือยๆเนิบๆ และค่อนข้างเหมือนมีโลกส่วนตัว ไม่สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษแม้แต่กับเพื่อนที่เข้าร่วมอบรมพร้อมกัน

เมื่อผ่านการอบรมจากแผนกของฉันแล้ว น้องก็เข้าไปเริ่มทำงานในแผนกขายอย่างเต็มตัว น้องทำงานอยู่ในระดับที่ไม่ค่อยน่าพอใจ จนหัวหน้าของน้องมาบ่นให้ฟังว่าจะให้ผ่านการทดลองงานดีไหม เพราะมาก็สาย ให้ทำอะไรก็เหมือนไม่ค่อยกระตือรือล้นเท่าไหร่ และเหมือนมีปัญหาส่วนตัวกับแฟนอยู่ตลอด ในด้านตัวงานก็ทำไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าไหร่ตกๆหล่นๆ ดูไม่รู้ว่าเพราะมีปัญหาส่วนตัว หรือ ปกติก็เป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว แต่ในที่สุดหัวหน้าก็ให้น้องผ่านการทดลองงานจนได้

น้องนิ่มทำอยู่ที่บริษัทประมาณ 2 ปีก็ลาออก ตอนที่น้องลาออกก็ได้ยินว่า หัวหน้าไม่ประทับใจกับการทำงาน เลยมีการเรียกคุย และน้องก็ขอลาออกเอง น้องออกไปทำงานอยู่บริษัทคู่แข่ง แต่ผลิตภัณฑ์ที่ขายไม่ชนกับของบริษัทเดิม แล้วฉันก็ไม่ได้ยินข่าวน้องอีกเลย จนมีครั้งหนึ่งฉันบังเอิญไปเจอน้องนิ่มในงานอบรมทักษะออนไลน์ บุคลิกของน้องดูกระฉับกระเฉง มั่นใจมากขึ้น ได้มีโอกาสคุยกับน้องช่วงพักกินข้าวนิดหน่อย ได้ความว่าน้องไปอยู่บริษัทใหม่นั้นประมาณ 2-3 ปี ก็โดนเพ่งเล็ง บีบให้ออก เพราะน้องทำงานเสริมขายเสื้อผ้าออนไลน์ แล้วนำเสื้อผ้ามาส่งให้เพื่อนตอนเข้าออฟฟิศแล้วผู้บริหารเห็น ก็เลยเรียกคุย น้องก็เลยลาออกมาขายเสื้อผ้าอย่่างเต็มตัว พอออกมาทำและทุ่มเทกับการขายอย่างเต็มที่ รายได้ช่วงนั้นก็ดีมากๆและตอนนี้ช่วงที่ได้คุยกับน้อง น้องกำลังจะขยายไปทำเฟอร์นิเจอร์นำเข้า และต่อไปก็ตั้งเป้าว่าจะผันตัวเป็นผู้นำเข้าและขายส่งให้ได้ น้องบอกว่างานที่ทำมันสนุกมาก ทำแล้วก็ตั้งเป้าหมายต่อให้มันใหญ่ขึ้น น้องขยันเรียนรู้มาก น้องเล่าว่าได้สมัครไปฟังการอบรมตามที่ต่างๆทั้งฟรีและไม่ฟรี แล้วเอาเทคนิคที่ได้มาใช้ทันที ทำให้กิจการดีขึ้นไปอีก และเมื่อทำได้สำเร็จ มันก็เป็นแรงผลักดันให้อยากทำเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นต่อไปเรื่อยๆ

ฉันเลยถามน้องว่าแล้วตอนที่เป็นเซลส์นั้นรู้สึกยังไง (เพราะฉันแอบสงสัย ตอนนั้นการทำงานของน้องคนละทรงกับตอนนี้เลย) น้องตอบว่าตอนสมัครเป็นเซลส์ หนูว่ามันไม่ใช่ตัวหนูเท่าไหร่ แต่หนูสมัครงานนั้นเพราะคิดว่ารายได้ดี แต่จริงๆแล้วหนูไม่ชอบ แต่พอทำไปเรื่อยๆหนูก็คิดว่าหนูอยากทำงานนี้ให้มันดีสักครั้ง ให้มันสำเร็จ หนูก็เลยตัดสินใจที่จะสำเร็จ พอคิดได้แบบนี้ก็เลยตั้งใจทำงานมากขึ้น แล้วหนูก็ได้เป็นเซลส์ที่มีผลงานท็อปๆของบริษัทเลย (ช่วงนั้นเป็นช่วงที่น้องทำงานที่บริษัทคู่แข่งกับบริษัทฉันแล้ว) แล้วพอมันสำเร็จครั้งหนึ่ง หนูก็ภูมิใจว่าหนูก็ทำได้ มั่นใจในความสามารถตัวเองมากขึ้น ต่อมาผลงานของหนูก็อยู่ในระดับท็อปๆของบริษัทมาโดยตลอด หนูก็เลยเริ่มคิดวางแผนที่จะอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เลยขายเสื้อผ้าออนไลน์เป็นงานเสริมเพื่อวางฐานธุรกิจตัวเองต่อไป และเมื่อลาออกแล้วหนูก็มาลุยเต็มตัว จนถึงวันนี้ หนูคิดว่าหนูโชคดีที่ได้ลองท้าทายตัวเองในครั้งแรกและทำสำเร็จ มันเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนชีวิตหนูเลย ตอนนี้หนูมีแต่ภาพอนาคตที่หนูคิดว่าหนูทำสำเร็จได้แน่

น้องนิ่มเป็นน้องที่ฉันทึ่งมาก คือจากวันที่หัวหน้าน้องมาคุยกับฉันว่าจะให้ผ่านการทดลองงานดีไหม จวบจนวันที่เจอน้องอีกครั้งหนึ่ง และฉันได้ติดตามข่าวคราวของน้องเป็นระยะๆ น้องมีการเติบโตอย่างน่าภูมิใจ จนวันนี้น้องได้เป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตแล้วเพราะการที่น้องตัดสินใจที่จะสำเร็จให้ได้ในครั้งนั้น น้องนิ่มคนนี้ก็ถือเป็นตัวอย่างที่ดีมากสำหรับในแง่ที่เป็นคนที่กลับมาเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเอง มั่นใจในศักยภาพตัวเองที่จะสามารถไปถึงเป้าหมาย และสามารถเสกสร้างตัวเองให้เป็นไปอย่างใจปรารถนาได้ เคยได้ยินประโยคดีๆประโยคหนึ่งก็คือ ความสำเร็จมี 2 ครั้ง ครั้งแรกในความคิด และครั้งที่สองในความจริง น้องนิ่มเป็นตัวอย่างที่ดีของประโยคนี้จริงๆ