ไม่ชอบทั้งๆไม่รู้จัก …บูลลี่

ท่ามกลางสภาวการณ์แบบนี้ ฉันนึกถึงเพื่อนตอนประถม 5 คนหนึ่ง เธอชื่อจันทร์โสรดา ชื่อออกจะแปลกจากคนอื่นพอสมควร ฉันจึงจำชื่อเธอได้ถึงเดี๋ยวนี้ เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นจากตอนที่เราเปิดเทอมภาคเรียนแรกกันมาสัก 2 เดือนแล้ว แล้ววันหนึ่งก็มีเด็กอีกคนเข้ามาร่วมชั้น ก็คือจันทร์โสรดาคนนี้ ครูให้แนะนำตัวโดยให้ยืนขึ้นแล้วบอกชื่อให้รู้จักกัน นั่นคือวันแรกที่ได้รู้จักเธอในฐานะเพื่อนร่วมห้องคนใหม่

ฉันแทบจะไม่ค่อยได้คุยกับจันโสนัก(ขอเรียกจันโส สั้นๆดี) เพราะความสูงของฉันเป็นขนาดพกพา(สูง 130 ซม.) เลยนั่งหน้า ส่วนจันโสได้นั่งหลัง เพราะสูงกว่าฉันมาก หนทางที่จะได้คุยกันเลยไม่ค่อยมี ความเป็นมาของจันโส เท่าที่ฟังจากเพื่อนที่เป็นหลานผู้อำนวยการโรงเรียน(คนนี้มักเป็นสายข่าวๆต่างๆ) เล่าให้ฟังก็คือ จันโสเรียนไม่เก่ง หัวทึบ ซ้ำชั้นป.5 มาจากที่อื่นแล้ว ปีหรือสองปีไม่แน่ใจ (มิน่าจันโส จึงมีรูปร่างและหน้าตาประมาณรุ่นพี่ของพวกเราได้) และเป็นคนมีเรื่องราวเบื้องหลังด้วย (คนเล่าไม่ได้บอกว่าเบื้องหลังยังไง) และซุบซิบอีกว่าเค้ามีประจำเดือนด้วยนะ พอลุกทีเนี่ยเก้าอี้แดงเลอะไปหมดเลยล่ะ เราเห็นจันโสเค้าถือผ้าอนามัยไปเข้าห้องน้ำด้วยล่ะ ยี้ (ย้อนกลับมาตอนนี้ เรื่องที่พูดเอามากระซิบกันตอนนั้นปัญญาอ่อนมาก 555 เรื่องธรรมดาแท้ๆ)

ดังนั้นภาพพจน์ของจันโสในใจฉันคือ หัวไม่ดี มีอะไรที่โตเกินไปกว่าพวกเรา ดูแปลกๆไม่เข้าพวก และยังดูสกปรกเลอะเทอะ ตัวน่าจะมีกลิ่นเลือดด้วย(ว่าไปนั่น) เพื่อนๆในห้องตอนนั้นแทบไม่มีใครพูดคุยกับจันโสเลย เพราะเสียงซุบซิบนั่นแพร่กระจายไปทั่ว จันโสนั่งที่โต๊ะหลังสุดริมประตูหลังคนเดียว ไม่มีใครนั่งคู่ด้วย ประกอบกับบุคลิกที่ดูหงอยเหงา ไม่ร่าเริง ซึมๆ ยิ่งทำให้ไม่มีใครอยากเข้าไปคุยด้วยยิ่งขึ้นไปอีก

จนมีวันหนึ่งฉันไปเข้าห้องน้ำช่วงเวลาเปลี่ยนคาบ แล้วมัวไถลดูโน่นนี่ไปเกือบสิบนาที พอมาถึงห้องแถวประตูหลังก็พบว่าครูสอนไปแล้ว ฉันไม่กล้าเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวเองที่อยู่หน้าสุด เลยเอาตัวมุดใต้โต๊ะที่ติดกับประตูหลังมานั่งคู่กับจันโส ใจไม่ได้อยากนั่งด้วยเลยแต่ความกลัวครูมีมากกว่าเพราะครูไม่ชอบให้นักเรียนเข้าสาย เลยจำใจนั่งแล้วจันโสก็เลื่อนหนังสือเรียนมาให้อ่านด้วยกัน ฉันรู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่ง แต่ในใจยังเต็มไปด้วยภาพในใจที่สร้างขึ้นจากเสียงซุบซิบเหล่านั้น ฉันยังคิดว่าเก้าอี้จันโสต้องชุ่มและเปื้อนเลือดตลอดเวลาแน่ ทำให้นึกรังเกียจขึ้นมาเป็นระยะๆ แต่ก็อดทนจนจบชั่วโมง เฮ่อ ได้กลับที่นั่งตัวเองสักที ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ใกล้และคุยกับจันโสนิดหน่อย แอบรู้สึกผิดนิดๆที่จันโสทำหน้าดีใจว่ามีคนมานั่งด้วย แม้จะแค่ชั่วโมงเดียว

หลังจากนั้นก็มีโอกาสนั่งใกล้ๆจันโสอีกครั้งหนึ่งแต่เป็นเก้าอี้เดี่ยว เพราะเป็นวันสอบก่อนปิดเทอมเล็ก โดยนั่งแถวหลังสุดของห้อง ฉันทำข้อสอบเสร็จเร็วแล้วไม่รู้จะทำอะไร เลยเอาขาถีบโต๊ะ แล้วโยกเก้าอี้เล่นให้คนข้างๆรู้ๆกันทั่วว่าฉันทำเสร็จก่อน (หึหึ ความคิดเด็กน้อยมาก) และยิ่งกลัวจะไม่รู้เลยโยกเก้าอี้ให้แรงขึ้น ได้เห็นทั่วกัน และผลคือ โคร้ม เก้าอี้และฉันหงายหลังไปนอนใต้โต๊ะ กว่าฉันจะปีนออกมาได้ก็มีเสียงหัวเราะครืนจากเพื่อนรอบๆ ครูก็เดินมาดู ฉันอายมาก แต่หางตาก็เห็นจันโสที่อยู่ด้านซ้าย รีบเบือนหน้าไปซ่อนยิ้ม ก็รู้สึกดีกับจันโสขึ้นอีกนิดหนึ่งที่ไม่หัวเราะฉัน

อีกครั้งหนึ่งที่ฉันวิ่งเข้าห้องทางประตูหลังตอนใกล้เวลาเข้าเรียน จันโสเรียกไว้และบอกว่ามานั่งนี่แป๊บนึง แล้วก็กระซิบฉันว่าซื้อเสื้อในใสได้แล้วนะ อย่าลืมบอกแม่ให้ซื้อให้นะ สีหน้าที่จันโสมองฉันคือสีหน้าที่ปรารถนาดีบวกกับความเอ็นดู ฉันรู้สึกดีกับจันโสขึ้นมาก และแอบรู้สึกผิดที่เคยมีภาพพจน์ที่ไม่ดีในใจมาก่อน และครั้งนั้นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับจันโส เพราะหลังจากนั้นก็เป็นการสอบปลายภาค และเมื่อขึ้นป.6 ฉันก็ไม่เห็นจันโสอีกเลย คาดว่าน่าจะย้ายโรงเรียนไปเรียนที่อื่นแล้ว โดยสรุปแล้วตลอดเวลาปีหนึ่งที่จันโสได้เข้ามาเรียนที่นี่ น่าจะเป็นช่วงชีวิตที่แสนจะหงอยเหงา แปลกแยก โดดเดี่ยวมากที่สุดปีหนึ่ง ของเธอเลย เพราะฉันเห็นเธอทีไรคือ นั่งที่โต๊ะคนเดียว ไม่ว่าจะช่วงหลังกินข้าว ช่วงพักระหว่างคาบเรียน หรือช่วงเดินไปโรงอาหารก็จะเดินไปคนเดียว ตลอดเวลา 1 ปีนั้น

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ฉันต้องหมั่นเตือนตัวเองเพื่อจะไม่ตัดสินใคร เพียงเพราะมีคนเขาว่ามา เพราะคนที่ถูกตัดสินคนนั้นจะได้รับผลอันนั้นโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเลย บางครั้งยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ถูกสร้างภาพพจน์ให้ และส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นภาพพจน์ด้านลบทั้งนั้น

การเอาเรื่องของคนอื่นมาพูดเอามัน เอาสนุก เอาบันเทิงในการพูดคุย บางทีเรื่องก็เป็นเรื่องธรรมดาแท้ๆ(เหมือนกรณีจันโส) แต่เอาไปใส่สี ใส่อารมณ์ เพื่อให้ได้อรรถรสในการพูดคุยเล่าเรื่อง ถ้าไม่ประมาท คิดให้ดี สิ่งที่ทำอยู่ มันอยู่บนการสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเแท้ๆ ถ้าคนที่ถูกกระทำคนนั้นเป็นเราเอง เราจะรู้สึกอย่างไร ฉันตอบได้ เพราะฉันเคยถูกบูลลี่มาแล้ว ไว้จะมาเล่าให้ฟังค่ะ