ไม่ชอบทั้งที่ไม่รู้จักกันดี ….บูลลี่(2)

มีช่วงหนึ่งของชีวิตที่ฉันได้ประสบกับการบูลลี่ ไม่ได้ต้องการจะต่อว่าใคร แต่ขอเขียนเพื่อให้เห็นมุมมองของคนที่ถูกบูลลี่คนหนึ่ง

ฉันเข้าทำงานในบริษัทขายอาหารเสริมแห่งหนึ่ง ตั้งแต่วันแรกที่ฉันเข้าไป ฉันค่อนข้างจะรับรู้ได้จากการที่ผ่านงานมาหลายบริษัทว่าบริษัทนี้ดูค่อนข้างจะเป็นแนวธุรกิจครอบครัว แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะบริษัทเก่าที่ฉันทำก็เป็นธุรกิจตรอบครัวแต่ก็เป็นระบบดี ไหนๆเข้ามาแล้วก็ลองดูสักตั้ง

พอดีฉันเข้าไปซ้อนกับพี่ด้าที่ฉันต้องมาทำงานแทน แต่พี่ด้าก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องราวเจาะลึกรายบุคคล เพียงแต่ถ่ายทอดงานและวัฒนธรรมองค์กรให้ฟังคร่าวๆประมาณ 10 วัน แล้วพี่ด้าก็ครบกำหนดการลาออก ฉันฟังการสอนงานก็รู้สึกว่าต้องเรียนรู้งานใหม่ให้มาก ให้เร็วที่สุด เพราะงานเยอะมาก โดยไม่รู้ว่าปฐมบทแห่งการถูกบูลลี่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น อ่อ พี่ด้าคนที่ฉันมาแทน ทำงานที่นี่แค่ 5 เดือน แต่เคยยื่นใบลาออกตั้งแต่เดือนที่ 2 และ 3 แต่ใบลาออกถูกระงับ เลยอยู่ต่อถึงเดือน่ที 4 จึงยื่นอีกครั้งหนึ่งก็ได้ลาออกสมใจ ในสิ้นเดือนที่ 5 (น่าสงสัยๆ ฉันถามแต่แกไม่บอกเหตุผลที่แท้จริงจนผ่านมาอีกเกือบปีที่ยังติดต่อกัน แกจึงบอก)

เริ่มวันแรก ก็เห็นว่าที่นี่การติดต่องานแบบเหมือนที่บ้านมากกว่าที่ทำงาน มีสายตาแปลกๆคอยลอบมอง แต่ก็คงเป็นธรรมดาของคนที่เข้างานใหม่ จะเจอสายตาแบบนี้ และก็มีคำพูดที่กระชากๆจากบางคนที่เป็นลูกน้อง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก วันเวลาผ่านไปแค่ 1 สัปดาห์ กิริยาท่าทางของบรรดาลูกน้อง ก็จะเป็นแนวจับผิด จ้องหาจุดอ่อน ต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด ผ่านไปประมาณ 1 เดือนความผิดปกติเริ่มมากขึ้น ทั้งสายตาและกิริยาท่าทาง (ลืมบอกไปฉันเป็นผู้จัดการแผนกมีลูกน้องประมาณ 14 คน) ตอนนั้นแม้จะเจออย่างนี้ฉันไม่ได้คิดเรื่องจะลาออกอะไรเลย แม้จะเห็นว่ามันแปลกๆ คิดแต่ว่างานที่นี่สนุก น่าสนใจและท้าทายอย่างมาก จนเวลาล่วงเลยถึงการประเมินผลการทดลองงาน ฉันก็ผ่านงานตามปกติ แต่สิ่งที่ฉันไม่ปกติคือ ฉันเริ่มคิดถึงการลาออก (เอ่ หรือจะเป็นระยะเวลาใกล้เคียงกับของพี่ด้า)

เพราะสิ่งที่ฉันเห็นจากสายตาบรรดาลูกน้องคือศัตรูคู่อาฆาต ทั้งๆที่บางคนฉันคุยด้วยน้อยมาก เพราะฉันจะคุยหลักๆกับคนที่เป็นรองผู้จัดการทั้ง 2 คน เพราะฉันอยากให้อำนาจเขาในการดูแลน้องๆที่อยู่ใต้เขาอีกทีหนึ่ง แล้วฉันก็คอยดูแลน้องๆเหล่านั้นอยู่ห่างๆ ฉันก็เลยรู้สึกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นแน่ๆ ซึ่งแน่นอนเมื่อฉันเรียกแต่ละคนมาคุยสร้างความสนิทสนมให้มากขึ้น ก็พบว่าต่อหน้าฉันเมื่อเขาอยู่คนเดียวโดยไม่มีพวก ก็ดูคุยกันได้ แต่เมื่อไหร่เขากลับไปนั่งที่เขาในหมู่พวกเขา ก็จะมีความเป็นหมู่คณะของเขาทันที

ในส่วนของรองผู้จัดการคนหนึ่งนั้นที่คุมลูกน้องเกือบทั้งหมด คนนี้มีปฏิกิริยารุนแรงมาก แสดงให้ทุกๆคนเห็นว่าตัวเองเก่ง เจ๋งที่สุด เหมาะกับตำแหน่งผู้จัดการมากกว่าฉัน ตอบโต้ด้วยการใช้เสียงให้ดังๆ ใช้คำพูดแรงๆ เพื่อให้ฉันทนไม่ได้ น้องๆที่อยู่ใต้เขาก็จะมีกิริยาท่าทางแบบเดียวกัน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนตั้งใจทำงาน มีลูกน้องอยู่ 2-3 คน คนนี้ที่เคยมาพูดลอยๆบอกฉันว่ามีการสร้างไลน์แผนก โดยที่ไม่มีฉัน และในนั้นมีการให้สมญานามของฉันแบบน่าเกลียดที่สุด มีการด่าว่าฉันอย่างรุนแรงในนั้น ดูถูกเหยียดหยามอย่างมาก ขอไม่เล่าแต่อยากมาบอกให้พี่รับรู้เอาไว้ น้องรองผู้จัดการคนนี้เองไม่เห็นด้วยกับที่พี่ๆน้องๆในแผนกทำกันแบบนี้ แล้วการด่าก็ไม่มีเหตุผลอะไร เป็นความเกลียดส่วนตัวล้วนๆ) แล้วน้องก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก และฉันก็ไม่อยากรู้ด้วยว่าให้สมญาหรือด่าว่าฉันอะไร ฉันมุ่งแต่ว่าฉันต้องทำงาน ไม่ใช่เวลามาใส่ใจอะไรกับเรื่องแบบนี้ จนเวลาผ่านไปๆเกือบปี

ฉันเริ่มย้อนคิดว่าพี่ด้าลาออกเพราะแบบนี้ แบบที่ฉันเจอด้วยหรือเปล่า เพราะตอนนี้ฉันอยากลาออกเต็มที่แล้ว ฉันเลยโทรหาพี่ด้าเพื่อถามเหตุผลการลาออกที่แท้จริงของแก สิ่งที่พี่ด้าบอกมาเหมือนที่ฉันเจอ แต่แกเจอน้อยกว่า เพราะอยู่จริงๆแค่4 เดือน เดือนที่ 5 เริ่มเกียร์ว่างเพราะยื่นใบลาออกแล้วที่สิ้นเดือนที่ 4 และแกยังเล่าอีกว่าก่อนหน้าแก ก็มีอีกคนหนึ่ง ตำแหน่งเดียวกันนี้ ก็ขอยื่นใบลาออกตอนเดือนที่ 4 เหมือนกัน ฉันฟังถึงกับร้องโอ้โห นี่มีการทำแบบนี้กันมานานแล้วสินะ ฉันฟังแล้วรู้สึกว่านี่มันเป็นขบวนการอำมหิตชัดๆ ฉันไม่ลังเลอีกแล้วที่จะยื่นใบลาออก หลังจากยื่นแล้ว ไม่ถึงเดือนก็มีคนใหม่มาแทนฉัน และฉันได้ยินมาว่ารองผู้จัดการคนที่มีปฏิกิริยารุนแรงต่อฉัน ได้เข้าไปคุยตัดพ้อกับเจ้าของบริษัทว่ารับคนใหม่เข้ามาอีกแล้วหรือ ทำไมไม่โปรโมทเขา รับมาแบบนี้นี่คนที่ 4 แล้ว ทำไมคนที่เป็นผู้จัดการไม่ใช่เขา ฉันฟังแล้วเข้าใจเรื่องทั้งหมดโดยพลัน นี่คือขบวนการกำจัดเพื่อตัวเองจะได้ขึ้นตำแหน่งนี้แทน ด้วยกลยุทธ์การสร้างพวกต่อต้าน สั่งงานอะไรก็จะต่อต้าน ไม่ทำ แล้วพูดแรงๆให้ทนไม่ได้ น่าสังเวชมากกับการกระทำแบบนี้

ความอิจฉานี่ มีอิทธิฤทธิ์มากถึงเพียงนี้เลยหนอ มันทำให้สามารถทำร้ายคนอื่น เพื่อกดคนอื่นให้ต่ำ และตัวเองดูสูงขึ้น น่ากลัวจริงๆ

ในส่วนของฉันเองก็เป็นปุถุชน ก็มีความอิจฉาคนโน้น คนนี้ด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ต้องคอยเตือนตัวเองว่าอย่าเผลอ ขอให้เป็นแค่ภายในใจ ไม่ทะลุออกมาเป็นวาจา หรือการกระทำทางกาย ไม่งั้นจะเป็นการทำบาปและจะทำให้คนอื่นนั้นเดือดร้อน ทุกข์ใจเหมือนกับที่ฉันโดนทั้งด้านวาจาและการกระทำที่กระทบกระเทือนจิตใจฉันอย่างมาก ที่ทำงานนั้นคงเป็นสถานที่ชดใช้กรรมของฉันที่เคยทำมาในอดีตอย่างแน่นอน