สุขอยู่ที่ใจเรา

เวลาเราซื้อของแล้วมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ แล้วสายตาเหลือบไปเห็นขนมที่เรารู้สึกน่าอร่อยกว่าที่เราถืออยู่ในมือไหมคะ

ฉันชอบซื้อขนมปังและเค้กจากร้านตำนานเบเกอรี่ย่านสยามเจ้าหนึ่งมาก เพราะรสชาติดี แถมราคามิตรภาพ (ถูกจริตฉันนักล่ะ^^) มีวันหนึ่งฉันไปช่วงบ่าย แค่ผลักประตูเข้าไป โอ้โห กลิ่นหอมเนยเตะจมูกดังเปรี้ยงเข้าให้ หอมจัง หอมจากขนมอะไรน้าา ฉันคิดพลางเดินเลือกซื้อขนมที่ฉันชอบไปพลาง แต่ก็หาไม่ได้ว่ามันหอมเนยจากไหน ฉันเลยถามคุณแคชเชียร์ คุณแคชเชียร์บอกว่าหอมวาฟเฟิลค่ะ วันนี้ยังมีอยู่ รับไหมคะ ฉันเองเข้าร้านมาก็หลายครั้ง แต่ไม่เคยเห็นมีวาฟเฟิลขายเลย วันนี้โชคดีจังที่ยังมีขายอยู่ ยังไม่หมดเสียก่อน

พอถึงบ้าน เอาวาฟเฟิลออกมาชิม ฉันถึงกับรำพึง โอ้ยยย อร่อย กลิ่นเนยเต็มปากเลย ฟินสุดๆ ตั้งแต่นั้นมาฉันก็อุดหนุนวาฟเฟิลของร้านนี้เป็นประจำ

มาวันหนึ่ง ฉันผลักประตูเข้าไป ได้ยินลูกค้าผู้หญิงคนหนึ่งวัยประมาณ ห้าสิบกว่า พูดทิ้งท้ายกับคุณแคชเชียร์ ว่าเคยเป็นแคชเชียร์เหมือนกัน (แต่ตอนนี้ดูจากลักษณะการแต่งตัว น่าจะเป็นประมาณระดับหัวหน้า หรือไปทำงานในออฟฟิศนานแล้ว) แล้วก็เดินออกไป ฉันยังรู้สึกว่า หูว ดีจัง ลูกค้ากับคนขาย สนิทสนมพูดคุยกันน่ารักดี แต่…เมื่อฉันเหลือเป็นลูกค้าคนเดียวในร้าน ทำไมฉันรู้สึกบรรยากาศเหมือนมีร่องรอยรังสีอำมหิต ยังไงไม่รู้ ฉันก็เลือกขนมไป จนไปถึงจุดคิดเงิน กำลังจะประเมินอยู่ว่าจะซื้อวาฟเฟิลดีหรือเปล่า เพราะซื้อกินติดๆกันจนเอียนหน่อยๆ ฉันก็เลยชวนคุณแคชเชียร์คุย ว่า ทุกทีมาเวลานี้ วาฟเฟิลจะใกล้หมดแล้ว เท่านั้นแหละ เหมือนฉันได้ดึงจุกคอร์กออกจากปากขวดยังไงยังงั้น

คุณแคชเชียร์เริ่มเล่าแบบนันสต็อป เธอเล่าว่า ลูกค้าคนเมื่อกี๊ เลือกขนมมา 2 อย่างแล้วมาจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เกิดเปลี่ยนใจจะเอาวาฟเฟิล (ฉันเข้าใจจุดนี้ดี ความหอมที่เกินจะห้ามใจ 555) ซึ่งราคาถูกกว่า แต่ระบบของร้านไม่ได้เซ็ทให้ยกเลิกออเดอร์ได้ (หรือคุณแคชเชียร์อาจจะไม่รู้ หรือ ไม่ได้เทรนมาก็อาจเป็นได้) เธอก็อธิบายว่าทำไม่ได้ ต้องขอโทษด้วย แต่คุณลูกค้ายืนยันว่าจะต้องเปลี่ยนได้ ระบบมันต้องเซ็ทมา ทำไมจะทำไม่ได้ เธอก็เล่าซ้ำพร้อมกับขอโทษ แต่เหมือนลูกค้าคนนี้จะต้องการจะให้ทำแบบที่ต้องการให้ได้ ในที่สุดคุณแคชเชียร์ก็เลยตัดใจ ยอมเปลี่ยนให้แบบนอกระบบ แล้วออกตังค์ตัวเองตรงส่วนต่างให้ร้านไป เพราะคงไม่รู้ว่าจะต่อกรยังไง แล้วลูกค้าคนนั้นก็ทิ้งท้ายก่อนออกจากร้านไปว่า ทำไมจะทำไม่ได้ ฉันเคยเป็นแคชเชียร์เหมือนกัน ซึ่งฉันก็ผลักประตูร้านเข้ามาพอดี

คุณแคชเชียร์เธอยังระบายต่อ ฉันก็คิดในใจว่า เอ้า ทำบุญด้วยการให้เวลาฟังเธอระบายดีกว่า มันไม่เสียเวลาเท่าไหร่ และเผื่อจะทำให้จิตใจเธอคลายความขุ่นมัวได้บ้าง ฉันก็เลยฟังต่อ แต่ประโยคต่อมา ทำให้ฉันสะดุ้งสิบตลบ(แปดตลบน้อยไปปปป) คือ เธอพูดว่า ลูกค้าคนนี้ต้องโสดแน่ ไม่ได้แต่งงานแน่นอน โอ้วโว้ว ไม่จริงงงงงงง อย่านิยาม ความโสด = ไม่มีใครเอา อย่างน้านนนน ไม่จริงงงงงงง มันม่ายช่ายยย ฉันคร่ำครวญในใจอย่างหวนไห้

ฉันรีบเรียกสติกลับมา ไม่ไม่ เรากำลังจะจัดการประเด็นอื่น (ไม่ใช่อยู่บนเวทีโต้วาทีหัวข้อ คนโสดคือคนที่ไม่มีใครเอา ฮึ แค่พิมพ์ยังน้อยใจ ทำไมถึงปรักปรำคนโสดอย่างน้านนน) ฉันเลยปลอบใจเธอไปว่า ลูกค้าคนนั้นคงเข้าใจว่ายกเลิก เปลี่ยนออเดอร์ได้แน่นอน โดยไม่เผื่อใจเผื่อกรณีอื่น เค้าอารมณ์เสีย ก็เรื่องของเค้า แต่เรามาขุ่นอยู่แบบนี้ เป็นเราเองที่ไม่สบายใจ รักษาใจไว้ดีกว่า เรื่องของเค้า ช่างเค้าเถอะ อย่าไปอารมณ์เสียตามเค้าเลย (แหม่ พอเป็นเรื่องของคนอื่น ฉันจะดูซุปเปอร์อีคิวไปในทันที 555)

พอเธอได้ระบายก็ดูเบาขึ้นมาก ฉันเลยสำทับไปว่า ฉันเข้าใจ เพราะบางที่ทางฝ่ายการเงินก็ไม่ได้เซ็ทการยกเลิกออเดอร์ไว้ให้ ฉันก็เคยเจอที่ร้านอื่นเหมือนกันนะ เท่านั้นเอง ฉันก็เห็นรอยยิ้มกลับมาบนใบหน้า พร้อมกับบรรยากาศในร้านที่สดใสเหมือนเดิม

ดีจังนะ วันนี้ได้ทำดี 1 อย่างแล้ว (วันที่ทำไม่ดี ฉันจะทำเป็นลืมนับ)